อบเชย ลดน้ำตาลในเลือด
ใส่ในกาแฟหรือเครื่องดื่ม
ใส่ในน้ำผลไม้
ใส่ในเบเกอรี่
ปรุงกับอาหารหลัก
Photo by DT.
นักวิจัยโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัลโมแห่งสวีเดนพบว่า การเหยาะอบเชยลงไปในขนมหรือของหวานที่กินประจำวัน จะช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในเลือดให้คงที่ การทดลองโดยนำอาสาสมัครที่แข็งแรงดีกลุ่มหนึ่ง มากินอาหารหรือขนมหวาน 1 ชาม แล้วเหยาะอบเชยผงลงไป 1 ช้อนชา พบว่ามีสรรพคุณช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับต่ำ จากการวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ภายหลังจากกินขนมไปแล้วพบว่าปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอีกไม่มากเท่าใด ดร.โจนนา เลโบวิคซ์ กล่าวว่า อบเชยอาจจะไปออกฤทธิ์ถ่วงการเดินทางของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้ให้เนิ่นนานออกไป
Photo by DT.
นักวิจัยรายงานผลการศึกษาในวารสาร "โภชนาศาสตร์คลินิกอเมริกัน" กล่าวว่า ผลการศึกษาได้ยืนยันหลักฐานจากการศึกษาที่แล้วมาว่า อบเชยมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน อันเป็นโรคเกิดจากอาการดื้อกับฮอร์โมนอินซูลินของร่างกาย อบเชยยังมีคุณสมบัติพิเศษป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน และยังมีคุณลักษณะเป็นอาหารต้านจุลชีพ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราได้
ดร.ริชาร์ด แอนเดอร์สัน ได้แนะนำอาสาสมัครของเขาที่ป่วยเป็นเบาหวาน ให้ลองใช้อบเชยเป็นประจำ ปรากฏว่ามีอาสาสมัครนับร้อยได้รายงานผลดีกลับเข้ามาว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ อบเชยช่วยเร่งให้การสันดาปน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น 20 เท่า นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าการกินอบเชยนั้นไม่มีอันตราย การทดลองกินเองแต่ละบุคคลนั้น หากได้ผลดีก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเกินคาด ทั้งยังเป็นสารธรรมชาติ และในรายที่ไม่ได้ผล ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด
Photo by Tomas Jasovsky on Unsplash
อบเชยทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการให้สัญญาณอินซูลิน (Insulin-Signaling System) และอาจเป็นการดีถ้าอบเชยได้ทำงานก่อนที่จะนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ ทั้งยังสามารถใช้อบเชยร่วมกับอินซูลินได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าสาร MHCP ในอบเชยสามารถลดความดันโลหิตของสัตว์ทดลองได้ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกด้วย
แม้ว่าอบเชยจะยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนใช้แทนยาได้ แต่ ดร.แอนเดอร์สัน ก็แนะนำว่าควรทดลองใช้ 1/4 ช้อนชาถึง 1 ช้อนชาต่อวัน เมื่อคำนวณดูแล้ว 1 ช้อนชาจะหนักประมาณ 1,200 มิลลิกรัม ดังนั้น ขนาด 1/4 ช้อนชา จึงประมาณเท่ากับ 300 มิลลิกรัม สามารถบรรจุลงในแคปซูล หมายเลข 1 ได้กำลังพอดี ขนาดที่ควรใช้ก็คือ 1 แคปซูล ทุกมื้ออาหาร วันละ 4 มื้อ ในกรณีที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ คนที่บิดามารดาเป็นเบาหวาน ควรรับประทานพร้อมกับอาหารมื้อใหญ่ วันละ 1-2 เม็ด ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารและขับลมได้ด้วย อบเชยชนิดที่ ดร.แอนเดอร์สันใช้ทดลองนั้นมาจากเปลือกอบเชยจีน จีน คือ Cassia (Cinnamomum cassia) ซึงคล้ายกับชนิดที่มีอยู่ในป่าบ้านเรา ทั้งนี้ ถ้าเป็นอบเชยชวาจะใช้ได้ดีที่สุด
Photo by DT.
การใช้อบเชยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เป็นวิธีช่วยผู้เป็นเบาหวานโดยใช้สารธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ยิ่งกับเกษตรกรผู้ปลูกอบเชยในเขตเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย มีหลายฝ่ายคิดว่าอบเชยทีดี คือ อบเชยที่ยังไม่ผ่านการฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อโรค จึงควรนำเปลือกอบเชยแห้งที่ม้วนอยู่เป็นหลอดมาบดให้ละเอียดเก็บไว้ใช้เองหรือจำหน่าย แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้เป็นเบาหวาน คือ จะต้องไม่ลืมเรื่องการงดอาหารที่ไม่ควรบริโภค และมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตนตามแพทย์สั่ง และพบแพทย์ตามนัดหมาย หากใช้อบเชยก็กรุณาบอกให้แพทย์ทราบด้วย
ผลการศึกษาวิจัยการใช้อบเชยในคนได้ตีพิมพ์ในวารสาร เดือนธันวาคม พ.ศ.2546 ผลที่ได้จากการให้อบเชยแก่ผู้ป่วยเบาหวานพบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดีขึ้นระหว่าง 12-30 % จึงเป็นผลที่ยืนยันการศึกษาวิจัยเดิมและน่านำไปใช้เพื่อป้องกัน และใช้ร่วมกับยารักษาเบาหวานต่อไป
Photo by DT.
นอกจากลดน้ำตาลในเลือดแล้ว อบเชยยังทำให้ท้องเป็นปกติดี แก้อาการจุกเสียด แน่นท้อง ขับลม ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ย่อยไขมัน (อาจเป็นเพราะไปช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยที่ใช้ในการย่อยไขมัน) ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย มีสารต้านแบคทีเรีย และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ (ผลงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา)
นอกจากการกินผงอบเชยบดในแคปซูลแล้ว เราใช้อบเชยเป็นปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน และปรุงยา เช่น ใส่ในเครื่องผัด เช่น ผงกระหรี่ หรือใสร่วมกับโป้ยกั๊กในต้มพะโล้ ส่วนของหวานนั้นใส่ในเบเกอรี่ ลูกอม และใช้อบเชยบดละเอียดโรยหน้ากาแฟ เป็นต้น หากซื้ออบเชยชนิดเป็นแผ่นม้วนหลอดเพื่อนำมาบดใช้เอง ควรเลือกที่ใหม่และยังไม่ถูกนำไปต้มสกัดเอารสกลิ่นไปใช้ก่อนแล้ว หากเลือกไม่ดีอาจใช้ไม่ได้ผล จึงควรคำนึงในเรื่องคุณภาพและชนิดของอบเชยชนิดที่ใช้ด้วย นอกจากการใช้เปลือกตำราไทยยังระบุว่ารากและใบมีกลิ่นหอมรสสุขุม ใช้ต้มดื่มขับลมบำรุงธาตุ แก้ท้องอืดเฟ้อ
สรรพคุณที่กล่าวถึง คือ ส่วนที่ละลายน้ำได้ ไม่ใช่น้ำมันที่กลั่นได้ (cinnamon oil) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่น เหล้า ขนมหวาน สบู่ และยา เป็นต้น อบเชยชนิดหลอดชาวตะวันตกนิยมใช้คนกาแฟ ชา หรือโกโก้ ซึ่งสาร MHCP ก็จะละลายออกมาอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ และให้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลเช่นกัน แต่เราไม่สามารถทราบถึงปริมาณ MHCP ซึ่งละลายอยู่ว่ามีปริมาณเท่าไรได้ ในต้นอบเชยที่อายุมากกว่า 6 ปี นำเปลือกลำต้น ใบ และกิ่ง มาสกัดน้ำหอมระเหยได้ โดยเฉพาะอบเชยญวนมีน้ำหอมระเหยมากถึง 2.5%
อบเชย(Cinnamon) อยู่ในวงศ์ Lauraceae สกุล Cinnamomum พบเฉพาะในทวีปเอเชียและออสเตรเลีบ มีมากกว่า 50 ชนิด ส่วนในประเทศไทยพบถึง 16 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เปลือกจะหนา มีกลิ่นหอมอ่อน ส่วนที่นำมาใช้ คือ เนื้อไม้ชั้นในที่แห้งแล้วของต้นอบเชย มีสีน้ำตาลอมแดง ในประเทศไทยมีปลูกและทั้งที่ขึ้นเองตามธรรมชาติป่า แต่ไม่ถึงกับนำมาขายได้เป็นกอบเป้นกำเหมือนประเทศอื่นในเอเชีย เช่น จีน ลังกา และญวน แต่อบเชยญวนและชวา ก็ขึ้นได้ดีในประเทศไทย ปลูกเพียง 3 ปี ก็มีผลผลิตขายได้แล้ว
Photo by DT.
Pictures Cr: www.gamerfitnation.com, www.wall.alphacoders.com, www.en.wikipedia.org, www.dehish.com, www.gopixpic.com, www.vanillareview.com, www.aroma-pure.com, www.vegiegirl88.wordpress.com, www.blueapoealypse.com, www.telegraph.co.uk, www.theberru.com